Powered By Blogger

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Computer Vision Syndrome

Computer vision syndrome (CVS) เป็นกลุ่มอาการของตาและสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ อาการจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อใช้เวลากับคอมพิวเตอร์นานมากขึ้น อาการของ Computer vision syndrome จะมีอาการเมื่อยล้าตา ปวดตา เคืองตา ตาแห้ง น้ำตาไหล ตามัว เห็นภาพซ้อน ปวดคอ หลังและไหล่
แนวทางการแก้ไข
จอคอมพิวเตอร์จะให้ภาพที่ดีขึ้นกับ
1. Refresh rate หมายถึงอัตราการกระพริบของจอภาพ จอที่มีค่า refresh rate ต่ำทำให้ตาต้องทำงานมากเพราะภาพที่ได้จะมีการสั่นและกระพริบ. ความถี่ที่เหมาะสมคือ 70 Hz (hertz) หรือมากกว่า. ค่า refresh rate ของจอคอมพิวเตอร์ชนิด CRT สามารถปรับได้ที่ start/settings/control panel/display/ settings/advanced
2. Resolution หมายถึงความหนาแน่นของ pixel ถ้ามีความหนาแน่นของ pixel สูงจะมีรายละเอียดมากกว่า เช่น 800 x 600 resolution จะมีรายละเอียดมากกว่า 640 x 480. โดยทั่วไปความหนาแน่นของ pixel สูงจะดีกว่าแต่ต้องดูที่ refresh rate ด้วยเพราะถ้ามี resolutions สูงแต่ refresh rate ไม่สูงพอภาพก็อาจไม่ดีได้. ข้อเสียของ resolution สูงคือภาพและข้อความจะมีขนาดเล็กลงและข้อดีของ การใช้จอคอมพิวเตอร์ที่มี resolutions สูงจะทำให้สบายตากว่า
3. Dot pitch คือระยะห่างระหว่างรูของช่องโลหะ มีผลต่อความคมชัด. จอคอมพิวเตอร์ปกติมีค่า 0.25-0.28 มม. ค่าต่ำแสดงว่ามีความคมชัดมาก ฉะนั้นค่าที่ดีคือ 0.28 มม. หรือต่ำกว่า ค่า Dot pitch นี้ไม่สามารถปรับได้
4. ควรปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้มีความสว่างเท่ากับภาวะแวดล้อม ส่วน contrast ควรปรับให้สูงเพื่อให้การโฟกัสและการมี binocularity ง่ายขึ้น. แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ทำให้ contrast ลดลงได้ทำให้การมองเห็นไม่สบายตาโดยเฉพาะถ้าเป็นตัวอักษรสีอ่อนบนพี้นสีเข้ม จึงแนะนำให้ใช้ตัวอักษรสีดำบนพื้นขาว ขนาดตัวอักษรควรเป็น 3 เท่าของตัวอักษรตัวเล็กที่สุดที่เราเห็นได้ เราสามารถ ทดสอบโดยเดินห่างออกไป 3 เท่าของระยะทางที่เราใช้งานอยู่ ถ้ายังคงเห็นตัวอักษรบนจอได้อยู่แสดงว่าเป็นขนาดที่เหมาะสมแล้ว
5. จอแบน มีการบิดเบือนของภาพน้อยกว่าจอโค้ง นอกจากนี้ยังสามารถลดแสงสะท้อนจากหน้าจอได้ดีกว่า เมื่อบวกกับสารพิเศษที่เคลือบทับหน้าจออีกชั้นหนึ่งทำให้สามารถลดแสงสะท้อน ได้อย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องใช้กระจกกรองแสง
สำหรับจอ LCD ข้อดีคือ ประหยัดไฟฟ้า, ประหยัดพื้นที่ทำงาน, ให้การแสดงผลที่ดี และไม่มีปัญหาเรื่องของสนามแม่เหล็กและการแผ่รังสี
ปัญหาสายตาและแว่นตา
สายตายาว คนที่มีสายตายาวมีกำลังของสายตาน้อยกว่าปกติ การมองเห็นจอให้เห็นชัดจึงต้องใช้ accommodation มากกว่าคนสายตาปกติ ในคนที่ไม่มี accommodation ที่เพียงพอจะมีอาการปวด เมื่อยล้าตา ปวดศีรษะได้เมื่อต้องเพ่งมองคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ คนที่มีสายตายาวแต่ไม่ได้ใส่แว่น จะมีอาการมัวเวลามองคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ อาการตามัวอาจมัวเป็นพักๆ เพราะตาไม่สามารถมี accommodation ได้ตลอดเวลา เมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการ accommodation จะน้อยลงจนทำให้คนอายุมากกว่า 40 ปีมักจะต้องใส่แว่นสายตายาวเพื่อให้มองคอมพิวเตอร์ชัด
สายตาสั้น คนสายตาสั้นมองไกลไม่ชัดแต่มองใกล้ได้ดีกว่า คนที่มีสายตาสั้นเล็กน้อยที่เท่ากันทั้ง 2 ข้างอาจไม่ต้องใส่แว่นเวลาใช้คอมพิวเตอร์ มีความเชื่อกันว่าการใช้สายตามองของใกล้ๆ เป็นเวลานานๆ กล้ามเนื้อ ciliary muscle ต้องหดตัวติดต่อกันนานจนอาจเกิดเป็นภาวะ accommodative spasm ซึ่งสามารถทำให้เกิดสายตาสั้นได้ พบว่าการใช้คอมพิวเตอร์ทำให้เกิดภาวะสายตาสั้นชั่วคราวได้ร้อยละ 20 ของคนทำงานคอมพิวเตอร์โดยทุกคน ที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสายตาสั้นนี้จะมีอาการ asthenopia แต่มีเพียงร้อยละ 32.5 ของคนที่มี asthenopia จะมีสายตาสั้นชั่วคราวนี้ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานที่แน่ชัดว่าการใช้คอมพิวเตอร์ทำให้เกิดสายตาสั้นที่ ถาวรได้
ลักษณะของแว่นตาที่เหมาะกับการใช้คอมพิวเตอร์
  • แว่นสำหรับคอมพิวเตอร์ ควรมีระยะที่เห็นชัดที่ 18-28 นิ้วฟุตซึ่งเราเรียกว่า intermediate viewing distance และมี intermediate viewing angle 10๐-15๐ ต่ำจากระดับตา ในขณะที่แว่นอ่านหนังสือ โดยปกติ เช่น bi-focals หรือ progressive lens จะมีระยะที่เห็นชัดอยู่ที่ระยะ 16-18 นิ้วฟุตจากตาและทำมุม 20๐-30๐ ต่ำจากระดับตา
  • Anti-reflective coating (AR) บนเลนส์จะลดจำนวนแสงจ้าและแสงสะท้อนจากเลนส์ที่จะเข้าสู่ตา
  • Lens tints จะลดความสว่างและสีบางสีที่จะเข้าสู่ตา การย้อมสีนี้อาจให้ความสบายกับบางคน
  • ในรายที่มีกล้ามเนื้อตาผิดปกติ การใส่ปริซึมในแว่นตาจะทำให้ใช้ตาได้สบายขึ้น
  • Ultraviolet coating ถ้าในห้องทำงานมี fluorescent light ซึ่งให้แสงสีฟ้าจำนวนมาก แสงสีฟ้ามีความกระจัดกระจายสูง การใช้ ultraviolet coating จะตัดแสงสีฟ้าที่เข้าตาได้
  • ในผู้ที่เป็น presbyopia แว่นสำหรับคอมพิวเตอร์ควรมี intermediate zone ที่กว้างไว้สำหรับมองคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจเป็น
    1. Single-vision lens ใช้เลนส์ที่มีระยะที่เห็นชัดที่ 18-28 นิ้วฟุตเพื่อไว้ใช้ดูคอมพิวเตอร์อย่างเดียว มีราคาถูกที่สุด. ข้อเสียคือ มองใกล้มากๆ และมองไกลไม่ชัด
    2. Clip-on เป็นเลนส์ที่นำมาหนีบบนแว่นเพื่อให้เห็นชัดในระยะที่ต้องการ
    3. แว่น Multifoca
      • Trifocal โดยจัดให้เลนส์ส่วนบนของแว่นสำหรับดูไกล ส่วนกลางให้ชัดสำหรับดูคอมพิวเตอร์ และส่วนล่างสำหรับดูหนังสือ. ข้อเสียคือ เลนส์ส่วนกลางจะมีบริเวณแคบและเวลามองคอมพิวเตอร์อาจต้องเงยหน้าขึ้นมอง
      • Bifocal จัดให้เลนส์ส่วนบนของแว่นเห็นชัดสำหรับดูคอมพิวเตอร์และส่วนล่างสำหรับดู หนังสือ. ข้อเสียคือ มองไกลไม่ชัด. แต่ถ้าทำให้เลนส์ส่วนบนเห็นชัดสำหรับดูไกลและส่วนล่างสำหรับดูคอมพิวเตอร์. ข้อเสียคือ เวลาดูคอมพิวเตอร์ต้องเงยหน้าขึ้น
      • Progressive lens ข้อดีคือไม่มีเส้นรอยต่อระหว่างเลนส์. ข้อเสียคือ การบิดเบี้ยวของภาพที่อยู่ข้างๆ. โดยทั่วไป progressive lens มี intermediate area แคบจึงไม่เหมาะกับการทำงานคอมพิวเตอร์. การพยายามเงยหน้าหรือก้มมาข้างหน้าเพื่อให้เห็นชัดจะทำให้มีอาการปวดคอ ไหล่ และหลัง ฉะนั้นสำหรับการทำงานคอมพิวเตอร์ควรเลือก progressive lens ชนิดมี intermediate zone กว้างและอยู่ตรงกลาง เมื่อมองลงล่างจะดูหนังสือได้ ถ้าก้มหน้าแล้วเหลือบตาขึ้นบนเล็กน้อยก็จะสามารถเห็นไกลได้ประมาณ 10 ฟุตพอให้เห็นของภายในห้องได้ แม้ไม่ชัดพอที่จะขับรถ เราเรียกเลนส์กลุ่มนี้ว่า occupational progressive lenses การใช้เลนส์กลุ่มนี้ทำให้ลดอาการปวดเมื่อยล้าตา ไหล่และหลังได้
การจัดตำแหน่งการนั่งให้เหมาะสมในการใช้คอมพิวเตอร์
ตำแหน่งการนั่งที่ไม่เหมาะสมขณะใช้คอมพิวเตอร์ทำให้มีอาการปวดคอ หลังและไหล่ได้ ตำแหน่งที่แนะนำได้แก่
  • จอคอมพิวเตอร์อยู่ตรงกับเรา ห่างประมาณ 20-26 นิ้วฟุต
  • จอคอมพิวเตอร์อาจหงายขึ้นบนได้เล็กน้อยเหมือนหนังสือที่เราถืออ่าน
  • ในท่ามองตรง จัดให้จุดกลางของจอคอมพิวเตอร์อยู่ต่ำกว่าตาลงมา 5-6 นิ้วฟุต
  • ขณะพิมพ์ควรให้แขนขนานกับพื้น เท้าวางราบบนพื้นหรือที่รองเท้า เข่าให้อยู่ระดับเดียวกับเก้าอี้หรือสูงกว่า
  • หลังตรงและไม่ให้งอไหล่มาข้างหน้า
  • Keyboard และ mouse ควรให้อยู่ต่ำกว่าศอก เพราะถ้าสูงกว่าหรืออยู่ไกลเกินไปจะทำให้ไหล่ต้องรับน้ำหนักของแขน เกิดอาการเมื่อยล้าที่ไหล่ คอและหลังได้
  • จัดที่นั่ง ไม่ให้มีลมเป่าเข้าตา
  • การมองไปมาระหว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์กับหนังสือทำให้มีอาการเมื่อยล้าได้ จึงควรวางหนังสือให้ใกล้กับจอคอมพิวเตอร์
  • ไฟที่ใช้กับหนังสือไม่ควรให้ส่องเข้าตา หรือจอคอมพิวเตอร์
  • ขณะใช้คอมพิวเตอร์ควรหยุดพักสายตาเปลี่ยนเป็นมองไกล 2 ครั้งทุกชั่วโมง และควรลุกขึ้นมายืน ขยับแขนขา หลัง คอ ไหล่และข้อบ่อยๆ
แสงสว่างที่เหมาะสม
แสงจากสิ่งแวดล้อมที่สว่างมากเกินไปทำให้ความสามารถในการ accommodation ลดลงได้ เพื่อลดเกิดอาการเมื่อยล้าตาควรให้ความสว่างจากนอกห้องและในห้องเป็นแค่ ครึ่งหนึ่งของสำนักงานทั่วๆไป ควรให้หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ตั้งฉากกับหน้าต่าง ไม่ควรให้หน้าต่างอยู่หน้าหรือหลังต่อหน้าจอคอมพิวเตอร์เพราะจะเกิดแสง สะท้อนได้.
แสงจ้าบนกำแพงและพื้นผิวที่สะท้อนบนจอคอมพิวเตอร์ทำให้เกิด CVS ได้ ควรแก้ไขด้วยการทากำแพงด้วยสีเข้ม ปิดหน้าต่างไม่ให้แสงจากข้างนอกเข้ามา. สำหรับการใช้ anti-glare screen บนจอคอมพิวเตอร์ช่วยลดแสงจ้าและแสงสะท้อนทำให้ contrast ดีขึ้น ทำให้การใช้ตาสบายขึ้น. แม้บางรายงานไม่พบว่าสามารถลดการปวดเมื่อยล้าตาได้ แนะนำให้ใช้แว่นที่เคลือบ anti-reflective coating เพื่อป้องกันไม่ให้แสงจ้าและแสงสะท้อนจากเลนส์เข้าสู่ตาของเรา.
ตาแห้ง
เมื่อใช้คอมพิวเตอร์คนเราจะกระพริบตาน้อยลง 5 เท่าของปกติ คุณภาพของน้ำตาจึงลดลง ทำให้น้ำตาระเหยจากตามากผิดปกติ ตาจึงแห้งและมีอาการระคายเคืองตา. การดูคอมพิวเตอร์ ตาจะต้องเบิ่งกว้างกว่าการอ่านหนังสือ ทำให้ตามีบริเวณที่สัมผัสอากาศมากกว่าจึงทำให้ตาแห้งมากกว่า โดยเฉพาะในผู้ที่ใส่เลนส์สัมผัส ฉะนั้นทุก 30 นาที ควรกระพริบตา 10 ครั้งอย่างช้าๆ จะช่วยทำให้อาการ ตาแห้งดีขึ้น. การใช้น้ำตาเทียมจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้.
เมื่อเรามีความรู้เกี่ยวกับ CVS อย่างถูกต้อง การปรับจอคอมพิวเตอร์ การใช้แว่นที่เหมาะสม การจัดตำแหน่งการนั่งให้ถูกต้อง การจัดแสงสว่างที่เหมาะสม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะช่วยให้เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างปราศจาก อาการ CVS