Powered By Blogger

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการเลือกแว่นกันแดด

โดย นายแพทย์ศุภวัฒน์ หงส์สาคร
จักษุแพทย์ โรงพยาบาลศิขรินทร์
แว่นกันแดดที่ดีควรเป็นอย่างไร
แว่นกันแดดมีหน้าที่ปกป้องอันตรายจากแสง UV แสงที่มีความเข้มสูง แสงจ้าที่เกิดจากการสะท้อนแสงของวัตถุที่มีความมันวาว ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการตาพร่าชั่วขณะ รวมถึงเพิ่มความคมชัด (Contrast) ของการมองเห็นภูมิประเทศด้วย แว่นกันแดดที่ดีควรมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กล่าวมานี้
การตัดแสง
ปัจจุบันสามารถผลิตเลนส์ที่สามารถลดความเข้มแสงได้ถึง 97% แล้ว ทำให้เหมาะกับการใช้งาที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แสงจ้ามากๆ เช่น นักปีนเขา เล่นสกีหิมะ สำหรับการใช้งานทั่วๆไป เช่น การเดินเล่นตามชายหาด ขับรถ หรือ กิจกรรมกลางแจ้งธรรมดา ใช้เลนส์ที่มีการตัดแสง 70-80% ก็เพียงพอแล้ว
สีของเลนส์
เลนส์สีต่างกัน ก็สามารถดูดกลืนแสงสีในแสงแดดได้ต่างกัน จึงเหมาะกับสภาพการใช้งานที่ต่างกันออกไปด้วย เช่น เลนส์สีเหลือง หรือสีน้ำตาล นิยมใช้กันแสงสะท้อนในยามกลางวันและกลางคืน เลนส์สีชา และสีเทาดำ ใช้สำหรับกันแสงจ้าทั่วไป เลนส์สีม่วง หรือสีกุหลาบ เหมาะกับการใช้เดินป่า ล่าสัตว์ หรือการเล่นกีฬาทางน้ำ
การใช้แว่นกันแดด ไม่ใช่การใช้เพื่อเป็นไปตามแฟชั่นตามที่ทุกคนเข้าใจอีกต่อไปแล้ว เพราะดวงตาเป็นสิ่งที่เราต้องปกป้องจากแสงแดดเหมือนกับที่เราต้องปกป้องผิว จากแสงแดด เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับดวงตา หากเราต้องทำกิจกรรมที่อยู่ท่ามกลางแสงมากๆ

6 อาหารสมอง

“สมอง” นับว่าเป็๋นอวัยวะที่สำคัญมาก เป็นอวัยวะที่บัญชาการควบคุมให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้ตามปกติ
แม้ว่าสมองจะถูกใช้งานยาวนานเพียงใด ก็ยังสามารถทำงานได้ดี หากเราดูแลและบริหารสมองให้ดีอยู่เสมอ ซึ่งอาหารหารกินก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยบำรุงสมองให้ทำงานได้ดีมี ประสิทธิภาพ
อาหารบำรุงสมองที่สำคัญ
1. ไทโรซีน (Thyrosine) มีมากในปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาทะเลนย้ำลึก สารไทโณซีนช่วยให้สมองตื่านตัว และมีสมาธิ
2. นม และผลิตภัณฑ์จากนม ช่วยทำให้เกิดความสมดุลของสารเคมีในสมอง สร้างความกระฉับกระเฉงให้แก่สมอง
3. ข้าวไม่ขัดสี ในข้าวไม่ขัดสีมีกรดอมิโนที่ไม่จำเป็นอยู่ในปริมาณมาก ซึ่งกรดอะมิโนเหล่านี้จะเป็นตัวที่ส่งสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงสมอง
4. ผักโขม ช่วยชะลอความเสื่อมของสมองส่วนกลาง เนื่องจากวัยที่สูงขึ้น สมองก็จะเสื่อมลงด้วย
5. ขมิ้น สีเหลืองของขมิ้นช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ป้องกันความจำเสื่อม
6. สตรอเบอร์รี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสมอง
มาเริ่มบำรุงสมองให้ดีอยู่กับเราตลอดไป โดยกินอาหารที่ช่วยบำรุงสมองอยู่พอเพียง และหมั่นใช้สมองอย่างต่อเนื่องพร้อมทำสมธิและพักผ่อนอย่างเพียงพอ

ไลฟสไตล์มรณะ

มะเร็งร้ายคอยแทรกตัวเข้าไปในหลอดเลือดเพื่อเกาะไปกับกระแสเลือดให้พา มันไปฝังตัวตามอวัยวะสำคัญของร่างกายทุกที่ที่เลือดไปเลี้ยงถึงเซลล์ มะเร็งเป็นคล้ายสัตว์กินเนื้อที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการแตกรากออกไปดูดกินสาร อาหารจากในร่างกายจนทำให้ผ่ายผอมและกลายเป็นรังมะเร็งในที่สุด
แต่ ถ้าท่านยังไม่อยากสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในกายประเภทสวนลอยแห่งมะเร็งไว้แข่งกับ บาบิโลน ก็ขอให้เลี่ยงวิถีที่จะเปลี่ยนกายให้เป็นแม่เหล็กดูดมะเร็งชั้นดีขอให้ เลี่ยงพฤติกรรมที่มะเร็งโปรดทั้งหลายต่อไปนี้ครับ
1) นอนดึก
ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมานอกจากนั้น ยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่นได้ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูงและโรคอ้วนด้วยว่าเมื่อนอนดึกแล้วมักจะหิว และต้องหาของขบเคี้ยวมากินแก้ปากว่างกัน
2) คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า
ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก แม้จะสูบซิการ์ซึ่งมีนิโคตินต่ำกว่าบุหรี่ก็ตามที หรือดื่มเหล้าแบบกลั่นอย่างดีของฝรั่ง แต่ตัวมันเองก็สร้าง”สนิมมะเร็ง” ออกมาไม่น้อย ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็งครับ
3) เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง
ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็ง ที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบไม่เหลือเลือด อันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอาๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไว ไม่มีลิมิต ชีวิตหดหู่แน่
4) แฝงด้วยเครียดจัด
จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็วราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น
5) ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย
ดังที่กล่าวไปว่าถ้าภูมิดีก็มีพลังต้านมะเร็งได้ตั้งแต่ในเซลล์แรกที่อุตริ เกิดขึ้นมา ด้วยตามปกติในกายเราก็มีเซลล์แบบมะเร็งนี้เกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน
6) ปล่อยกายให้อ้วน
สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย
7) ล้วนขาดวิตามิน
ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา
8) กินของร้อนจัดไป
เช่น ซดชาร้อนหรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น
9) ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ
พบว่าถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดีครับ มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา
10) ทำกลั้นปัสสาวะ
น้ำปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้น มันก็ไม่ต่าง อะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบ ซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่าแต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เรา ก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้
11) ปะทะเค็มจัด
พบว่าสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่าโดยเฉพาะใน อาหารจำพวกเนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดงที่นอกจากเค็มแล้ว ยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย
12) ประวัติมะเร็งในครอบครัว
มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้แม้จะไม่ใช่ อสังหาริมทรัพย์ แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่นมะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดีๆ แล้ว บางทีก็ไม่เกิดขึ้นมาครับ
13) ตัวตากแดดบ่อย
แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมด ครับ เมื่อเครื่องในรวนแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัวได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง กลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
14) ไม่ค่อยช่วยใคร
ถ้าพูดให้ง่ายเข้าคือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้ว เรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้ว ก็ไม่ค่อยเกิดความ”อยาก” อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลา ก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบ ก็ทำให้มี “สารสุข” หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้วครับ

Air card

Air card คืออุปกรณ์ใหม่ที่มีไว้สำหรับต่อเชื่อม Notebook เข้ากับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไร้สายของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ นั่นคือ ระบบ EDGE กับ 3G
ปัจจุบันนี้เมืองไทยยังมีแค่ EDGE โดยผู้ให้บริการ AIS และ DTAC ให้บริการเชื่อมต่อ EDGE ที่ความเร็วสูงสุด 220Kbps แต่การใช้งานจริงจะอยู่ระหว่าง 100-200Kbps
โดยความเร็วขนาดนี้สามารถใช้ เข้า web ฟังเพลง เล่นเกมส์ chat พร้อมดู webcam ได้สบาย แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า EDGE นั้นไม่ต่างจากคลื่นมือถือตรงที่ว่าในบางช่วงเวลาสัญญาณจะอ่อนหรือหายไป ซึ่งจะทำให้ net เดินสะดุด ดังนั้นหากนำไปใช้เล่นเกมส์จำพวกที่ว่าห้ามเน็ตเดินสะดุดเลยสักช่วงวินาที เดียว ทางเราขอแนะนำให้ใช้การเชื่อมต่อแบบสาย Hi-Speed จะทำให้เล่นเกมส์ได้ stable กว่า
ความเร็วของ EDGE นั้นยังไม่สามารถใช้ดู TV หรือ Youtube ได้แบบต่อเนื่อง โดยภาพที่ได้จะสะดุดเป็นช่วงๆ จำเป็นต้องให้ download เสร็จก่อนค่อยดูทีเดียว ดังนั้นหากต้องการดู TV ด้วย
Air card จำเป็นจะต้องรอระบบ 3G เท่านั้น ซึ่งระบบ 3G นี้ จะวิ่งที่ความเร็ว 3.6-7.2Mbps และสามารถใช้ดู TV ได้ 3-5 ช่องพร้อมกันแบบสบายๆ ไม่มีติดขัด
ก่อนซื้อ Air card ทุกตัวขอแนะนำให้ตรวจสอบ slot ที่ติดมากับ Notebook ก่อน โดย Air card ในปัจจุบัน จะมีทั้งหมดจำนวน 3 แบบ ซึ่งจะใช้ slot ของ notebook ที่มีรูปร่างต่างกัน
- แบบแรกคือแบบดั่งเดิมนั่นคือใช้ slot PCMCIA ซึ่งเป็น slot ทั่วไปที่มีอยู่ใน notebook รุ่นก่อนปี 2549 จะเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดความกว้าง 54 mm แต่รุ่นนี้จะมีราคาถูกที่สุด
- แบบที่สองจะเรียกว่า Express card ซึ่งจะคล้ายๆกับแบบแรก แตกต่างกันตรงที่ รูปทรงจะเป็นสี่เหลี่ยมมีรอยหยักเข้าไปทางด้านหลังด้วย แต่ขนาดความกว้างยังเท่าเดิมคือ 54 mm จะพบเห็นได้ตาม notebook รุ่นใหม่ๆส่วนมากที่ผลิตหลังปี 2549
- แบบสุดท้าย แบบที่สาม จะเป็นรุ่นใหม่ที่สุด และมีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งจะมีความกว้างอยู่เพียงแค่ 34 mm เท่านั้น จะเรียกกว่าเป็น Express card รุ่นใหม่ก็ได้ และรุ่นนี้จะมีราคาแพงกว่าสองรุ่นที่กล่าวมา
ทั้งนี้ ถ้าทีคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง การเลือกใช้ Air card ที่เป็นระบบ USB จะเหมาะสมที่สุด เพราะจะสามารถนำไปใช้ได้กับคอมทุกเครื่อง ที่มี port USB นั่นเอง
ข้อดีของการใช้ Air card เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตของมือถือ
- Aircard ไม่มีแบตเตอรี่ในตัว เนื่องจากใช้ไฟฟ้าจากเครื่องคอมพิวเตอร์มาเลี้ยง ในขณะที่โทรศัพท์มือถือยังจำเป็นจะต้องใช้แบตเตอรี่ แล้วโดยเฉพาะถ้าเชื่อมต่อกับกับคอมพิวเตอร์ผ่านระบบ Bluetooth จะกินไฟค่อนข้างมาก
- ถ้ามีการรับสายและโทรออก โดยปกติโทรศัพท์จะไม่สามารถใช้งาน GPRS/EDGE ได้ และถ้าใช้โทรศัพท์มือถือในการเชื่อมต่อกับกับคอมพิวเตอร์ เวลาใช้งาน GPRS/EDGE ก็จะไม่สามารถใช้งานในส่วนของรับสายและโทรออกได้เช่นกัน ทางออกก็คือ จะต้องทำ multi-sim เพื่อที่สามารถใช้งานได้ทั้งส่วนของรับสายและโทรออกและใช้งาน GPRS/EDGE ในเวลาพร้อมๆกันนั่นเอง
- นอกจากนั้น Air card จะให้ความสะดวกสบายมากกว่า เพราะ มีขนาดเล็ก สามารถพกพา ใส่ไว้ใน Notebook ได้ตลอดเวลา และพร้อมใช้งานทันที ในขณะที่โทรศัพท์มือถือนั้น จะมีขนาดใหญ่กว่า ต้องเชื่อมต่อผ่านสายดาต้า หรือ Infrared/Bluetooth/Wifi ก่อนการใช้งาน
ข้อมูลด้านเทคนิคอื่นๆอื่นๆ
- เครือข่าย AIS มีการทดสอบระบบสัญญาณ 3G ณ ขณะนี้ 2 จุด คือ ห้างสยามพารากอน และห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ด้วยคลื่น 900 MHz และถ้าเปิดใช้ระบบอย่างสมบูรณ์จะใช้คลื่น 2100 MHz
- เครือข่าย DTAC และ TRUE จะมีการให้บริการ 3G ประมาณกลางปีนี้ ด้วยคลื่น 850 MHz
- เครือข่าย 3G ที่ใช้กันทั่วโลกเป็นคลื่น 850, 1900 และ2100 MHz (เป็นคลื่นที่นิยมใช้กัน)

กินอาหารไขมันสูง อาจทำร่างกายพลังลดแถมความจำแย่ลง

กินอาหารไขมันสูงอาจเสี่ยงเป็นโรคอ้วนหรือโรคหัวใจในระยะยาวได้ แต่ในระยะสั้นอาจทำให้คนเราออกกำลังกายได้น้อยลง แถมเสี่ยงความจำเสื่อมเร็วขึ้น หลังนักวิทย์อังกฤษทดลองเลี้ยงหนูด้วยอาหารไขมันสูง พบหนูวิ่งได้ระยะทางสั้นลง และหลงทางในเขาวงกตมากขึ้น
ดร.แอนดรูว์ เมอร์เรย์ (Dr Andrew Murray) และทีมวิจัยที่มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด (Oxford University) สหราชอาณาจักร ศึกษาผลของการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงมากเกินไปในหนูทดลอง พบว่าทำให้หนูมีความอดทนทางร่างกายน้อยลง และความสามารถของระบบความจำแย่ลง ซึ่งไซน์เดลีระบุว่าผลงานวิจัยนี้ได้ตีพิมพ์ในวารสารเอฟเอเอสอีบี (FASEB)
“เราพบว่าเมื่อเลี้ยงหนูด้วยอาหารที่มีไขมันสูง แทนอาหารสูตรมาตรฐานแบบเดิมที่มีไขมันต่ำ ทำให้พวกมันมีการแสดงออกทางกายภาพลดลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจมาก ซึ่งหลังจากผ่านไปแล้ว 9 วัน พวกมันวิ่งได้ไกลเพียง 50% ของระยะทางที่พวกมันเคยวิ่งเมื่อครั้งที่ยังถูกเลี้ยงด้วยอาหารไขมันต่ำ” ดร.เมอร์เรย์ เผยผลการวิจัยดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันเขาได้ย้ายไปเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (University of Cambridge)
อาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน เป็นอาหารที่พบได้ทั่วไปในประเทศตะวันตก และเป็นที่ทราบกันดีว่า มันจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ในระยะยาว และจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคอ้วน เบาหวาน และหัวใจล้มเหลว เป็นต้น อีกทั้งยังมีส่วนทำให้ความสามารถของสมองส่วนความจำเสื่อมลงด้วย ทว่าผลกระทบในระยะสั้นของการบริโภคอาหารไขมันสูงยังไม่ได้รับความสนใจมาก เท่าใดนัก
นักวิจัยทำการทดลองโดยใช้หนูแรทเป็นต้นแบบ จำนวน 42 ตัว เริ่มต้นเลี้ยงหนูทุกตัวด้วยอาหารมาตรฐานที่มีไขมันต่ำและให้พลังงานเพียง 7.5% และวัดความอดทนของร่างกาย (Physical endurance) โดยวัดจากระยะทางที่พวกมันวิ่งได้บนลู่วิ่ง และตรวจสอบการทำงานของระบบความจำโดยให้หนูเดินในเขาวงกต
จากนั้นแบ่งหนูเป็น 2 กลุ่ม จำนวนเท่าๆ กัน โดยกลุ่มหนึ่งเลี้ยงด้วยอาหารแบบเดิม และอีกกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนมาเลี้ยงด้วยอาหารที่มีไขมันสูง ซึ่งให้พลังงาน 55% และเปรียบเทียบผลเมื่อทดลองเปลี่ยนอาหารไป 9 วัน
ทั้งนี้ นักวิจัยระบุว่า อาหารไขมันต่ำที่ใช้เลี้ยงหนูในที่นี้ เทียบเท่ากับอาหารจำพวกธัญญาพืช ถั่ว และผลไม้ ที่คนเราบริโภคกัน ส่วนอาหารไขมันสูงที่ใช้ในการทดลอง ซึ่งดูเหมือนมีไขมันสูงมากก็จริง แต่ก็ไม่มากไปกว่าอาหารไขมันสูงที่คนเราบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้ หรือจำพวกอาหารขยะทั้งหลายนั่นเอง
หลังจากเลี้ยงอาหารด้วยไขมันสูงไปแล้ว 4 วัน นักวิจัยทดสอบให้หนูกลุ่มดังกล่าววิ่งบนลู่วิ่งเป็นวันแรก พบว่าพวกมันสามารถวิ่งได้ระยะทางน้อยลงจากเดิม 30% และเมื่อผ่านไป 9 วัน พวกมันวิ่งได้ระยะทางน้อยลงถึง 50% เทียบกับหนูกลุ่มที่ได้กินอาหารไขมันต่ำตลอดการทดลอง
ทั้งนี้ ความอดทนของร่างกาย ขึ้นอยู่กับว่ามีออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมากเท่าใด และกล้ามเนื้อของเรามีประสิทธิภาพแค่ไหน ในการปลดปล่อยพลังงานจากการเผาผลาญอาหาร ซึ่งประสิทธิภาพการใช้ไขมันเป็นเชื้อเพลิงจะน้อยกว่าการใช้น้ำตาลกลูโคสจาก อาหารพวกคาร์โบไฮเดรต
ทว่าระบบเผาผลาญในร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อถูกเหนี่ยวนำด้วย อาหารที่มีรูปแบบแตกต่างไปจากเดิม ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากและยังถกเถียงกันอยู่ว่า ถ้าเลี้ยงหนูด้วยอาหารไขมันสูงเป็นช่วงเวลาสั้นๆ จะมีผลไปเพิ่มหรือลดการแสดงออกทางกายภาพได้หรือไม่
นอกจากนั้น เมื่อนักวิจัยทดลองให้หนูเดินในเขาวงกต ปรากฏว่าหนูที่กินอาหารไขมันสูง จะทำผิดพลาดเร็วกว่าด้วย และอัตราการตัดสินใจไปถูกทางก็ลดต่ำลงเดิมด้วย ชี้ให้เห็นว่าความสามารถในการจดจำของหนูกลุ่มนี้ได้รับผลจากการกินอาหารที่ มีไขมันสูง
นักวิจัยยังได้ศึกษาด้วยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในระบบการเผาผลาญ อาหาร ซึ่งพบว่ามีระดับโปรตีนยูซีพี (uncoupling protein: UCP) สูงขึ้นในเซลล์กล้ามเนื้อและหัวใจของหนูกลุ่มที่เลี้ยงด้วยอาหารไขมันต่ำ ซึ่งโปรตีนชนิดนี้ เกี่ยวข้องในกระบวนการเผาผลาญอาหาร เพื่อให้ได้พลังงานสำหรับเซลล์ และไปลดประสิทธิภาพของหัวใจและกล้ามเนื้อ ซึ่งส่วนหนึ่งอธิบายได้จากระยะทางที่หนูวิ่งได้น้อยลงหลังจากถูกเลี้ยงด้วย อาหารที่มีไขมันสูง
อีกทั้งยังพบว่า หนูที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารไขมันสูงนาน 9 วัน แล้วนำมาวิ่งบนลู่วิ่ง มีหัวใจโตกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งบ่งบอกว่าหัวใจจะต้องขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้น เพื่อปั๊มเลือดไปเลี้ยงร่างกายมากขึ้น และให้กล้ามเนื้อได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่การทดลองในหนูเสร็จสิ้นลง ทีมวิจัยมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดได้ร่วมกับทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ทำการศึกษาต่อในคนอาสาสมัครด้วยการทดลองที่คล้ายกัน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเก็บข้อมูล
นักวิจัยหวังว่าผลการทดลองที่ได้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการบริโภคอาหารของนักกีฬา รวมถึงคนทั่วไปที่ชอบบริโภคอาหารขยะที่มีไขมันสูง และอาจนำแนวทางนี้ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้ป่วย ที่มีความมบกพร่องของระบบเผาผลาญอาหารในร่างกายได้ด้วยเช่นกัน เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้จะมีไขมันในเลือดสูง มีความอดทนต่อการออกกำลังกายน้อย บางคนอาจมีปัญหาด้านระบบความจำร่วมด้วย และอาจนำไปสู่โรคจิตเสื่อมได้.

กินอาหารย่าง 2 ชม. เท่าสูบบุหรี่ 2 แสนมวน

สองบวกสองเป็นสี่ แต่ถ้าย่างอาหารแค่ 2 ชั่วโมง กลับเท่ากับสูบบุหรี่ตั้ง 200,000 มวน

นี่คือผลวิจัยชิ้นล่าสุดที่ส่งมาช็อกวงการโดยกลุ่มรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม ของฝรั่งเศส
ซึ่งลองเอาไก่มาย่างบนเตาถ่านแล้วพบว่ามันจะ สร้างสารไดออกซิน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ขึ้นมาในปริมาณที่ฟังแล้วอึ้งทึ่งเสียวไปตามๆ กัน แถมบนเนื้อย่างยังมีสารพิษตัวอื่นๆ แถมมาอีกหลายอย่าง เช่น สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ตัวการสร้างเซลล์ร้าย และสารพิษที่เกิดจากผงชูรสที่ถูกความร้อน
คนที่ชอบกินเนื้อย่างจึงควรจะทำประกันโรคมะเร็งไว้ เพราะรับรองได้ใช้แน่ๆ

คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า ใน 19 ประเทศ

คนไทยไม่ต้องขอวีซ่าใน 19 ประเทศ
กระทรวงต่างประเทศเผย คนไทยไม่ต้องขอวีซ่าใน 19 ประเทศ ,
อยู่ได้ 14-90 วัน
กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เผยคนไทยที่ถือหนังสือเดิ นทางธรรมดา
ไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา(วีซ่า) เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ จำนวน 19 ประเทศ
โดยสามารถพำนักอยู่ได้ตั้งแต่ 14-90 วัน เอกสารเผยแพร่ ระบุว่ากรมการกงสุล
ขอแจ้งสถานะล่าสุด ณ วันที่ 14 ม.ค. เกี่ยวกับการยกเว้นวีซ่า
สำหรับคนไทยที่ถือหนังสือเดินทาง ธรรมดาว่า ปัจจุปันไม่ต้องขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปต่างประเทศจำนวน 19 ประเทศ
ประเทศที่พำนักอยู่ได้ 90 วันได้แก่ อาร์เจนตินา , บราซิล , ชิลี , เกาหลีใต้ และเปรู
ประเทศที่พำนักอยู่ได้ 30 วันได้แก่ ฮ่องกง , อินโดนีเซีย , ลาว , มาเก๊า
,มองโกเลีย , มาเลเซีย , มัล ดีฟส์, รัสเซีย, สิงคโปร์, แอฟริกาใต้ และ เวียดนาม
ประเทศที่พำนักอยู่ได้ 21 วัน ได้แก่ ฟิลิปปินส์
ประเทศที่พำนักอยู่ได้ 15 วัน ได้แก่ บาห์เรน
ประเทศที่พำนักอยู่ได้ 14 วัน ได้แก่ บรูไนฯ
จึงเรียนมาเพื่อรับทราบโดยทั่ วกัน

วิธีการไล่สัตว์ต่างๆด้วยวิธีธรรมชาติ

วิธีการไล่ยุง
แบบง่าย ๆ คือ หา การบูร มาห่อด้วยผ้าแล้วมัดไว้กับหลอดไฟฟ้าที่อยู่ภายใน บ้าน ความร้อนของไฟฟ้าจะทำให้การบูร ระเหย ออกไป และกลิ่นของการบูรจะช่วย ป้องกันยุง ไม่ให้มารบกวน
วิธีกำจัดมด
- หาเศษผ้าที่ไม่ใช้แล้วมาตัดเป็นชิ้น ๆ ความยาวพอประมาณ ชุบกับน้ำมันเครื่องพอหมาดหรือจาระบี แล้วนำมาพันรอบขาตู้หรือโต๊ะ หรือจะใช้ปูนขาวใส่ภาชนะรองที่ขาตู้ก็ได้ และหากพบมดไต่ขึ้นมาตามรอยแตกร้าวของคอนกรีต ให้ใช้น้ำมันก๊าดเทลงไปในร่อง มดก็จะไม่โผล่หน้าขึ้นมาให้เรารำคาญใจอีกนาน
- ใช้แป้งฝุ่นสำหรับทาป้องกันเห็บหมัดของสุนัขหรือแมวมาโรยตามพื้นหรือบริเวณ ที่มดขึ้น เมื่อมดเดินผ่านก็จะเกิดการระคายเคืองและตายในเวลาอันรวดเร็ว หรืออาจฝานมะนาวเป็นแผ่นบางๆ มาไปวางในบริเวณที่มดขึ้นก็ได้
- หากพบว่ามีมดขึ้นอยู่ในขวดน้ำตาลหรือขนมปังที่ใส่อยู่ในกระป๋อง ให้ เราปิดฝาขวดหรือกระป๋องนั้นให้สนิท จากนั้นให้ออกแรงเขย่าเพียงเล็กน้อย แล้วเปิดฝาทิ้งไว้หรือนำไปผึ่งแดดสักครู่ มดตัวน้อยตัวนิดก็จะพากันหนีออกมาเอง
- ในกรณีที่พบรังมด ให้ใช้น้ำที่แช่หน่อไม้สดหรือหน่อไม้ดองเปรี้ยวราดไป ที่รัง มดจะอพยพไปอยู่ที่อื่นทันที แต่ถ้าต้องการกำจัดให้สิ้นซาก ให้ใช้การบูรและยาสูบอย่างละ 1 ส่วน นำไปแช่น้ำตั้งไฟให้เดือด จากนั้นเอาไปราดที่รัง มดก็จะตายและไม่กล้ามาทำรังอีกแน่ๆ
วิธีกำจัดแมลงสาบแบบที่ 1
- เอาขวดเหล้ากลม มาวาง ทาน้ำมันพืชบางๆบริเวณปากขวด แล้วเอาเศษอาหารที่มีกลิ่นหอมๆ ใส่ไว้ก้นขวด (จากการทดลองน้ำตาลปิ๊บดีสุด)
- วางขวดเอียงประมาณ 70 องศา ให้ปากขวดแตะผนัง ตามซอกมืดๆในบ้าน
- ตื่นเช้ามาคุณจะได้แมลงสาปอยู่ในขวด วันแรกๆจะได้เยอะมาก ทำซ้ำเรื่อยๆ มันก็จะหมดไปเอง
วิธีกำจัดแมลงสาบแบบที่ 2
- เทน้ำมันหมูลงในขวด เฮลบลูบอย แล้วก็เคล้ากะให้น้ำมันหมูเกาะทั่วขวด เอาน้ำมันหมูป้ายขอบในคอขวด กะให้กำลังลื่นพองาม
- เอาไปตั้งไว้กลางห้องครัว หรือ แหล่งชุมนุม แมงสาบ เฉพาะจุดที่พบบ่อยๆ
- ทิ้งเอาไว้ ประมาณ 8 ชม. แนะนำ >>ตั้ง< < ไว้ก่อนนอน
- ตื่นมาตอนเช้าอย่าตกใจ แมงสาบจะยัวะเยียะ ไปทั้งขวด แต่ออกมาไม่ได้ เด็กและสตรีที่กลัวแมงสาบ ไม่ควรทำ เพราะอาจจะตกใจตายได้ เอาฝาเฮลบลูบอยปิดไว้ แล้วฝากให้รถขยะพาแมงสาบไปเที่ยว
วิธีกำจัดแมลงสาบแบบที่ 3
- เอาน้ำตาลเคี่ยวกับน้ำให้มีกลิ่นหอมแล้วนำไปใส่ในกะละมังหรือภาชนะที่มีความ ลื่น เพราะเมื่อแมลงสาบได้กลิ่น มันจะลงไปกินแต่ไม่สามารถไต่ขึ้นมาได้ วิธีนี้ก็จะช่วยลดพลเมืองแมลงสาบได้มาก
- ถ้ากันมดและแมลงสาบเข้าไปในตู้เสื้อผ้า หรือ ตู้หนังสือ โดยใช้ก้านพลูและพริกไทยเม็ดบรรจุใส่ถุงผ้าเล็ก ๆ แล้วนำไปไว้ตามซอกของตู้เสื้อผ้า หรือ ตู้หนังสือ
- นำขวดแก้วที่มีปากค่อนข้างกว้างใส่น้ำแกงจืดหรือน้ำต้มยำที่เหลือจากการรับ ประทานอาหาร (ใส่ประมาณครึ่งขวด) แล้วนำไปวางไว้บริเวณซอกหรือมุมห้องภายในบ้าน โดยวางให้ชิดติดกับผนังเพื่อล่อให้แมลงสาบที่ไต่ตามฝาผนังลงมากินน้ำแกงใน ขวด ทำให้ไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้
- ใช้เหยื่อล่อแมลงสาบสำเร็จรูป ซึ่งบรรจุอยู่ในตลับที่มีช่องว่างเพื่อให้แมลงสาบมุดหัวเข้าไปกินเหยื่อ แล้วออกมาตายภายนอก (ไม่ตายค้างอยู่ด้านในตลับ) โดยนำไปวางไว้ในบริเวณที่มีแมลงสาบชอบเดินผ่าน อาทิ ตามซอกมุมอับต่างๆ หรือวางไว้ใกล้ท่อระบายน้ำทิ้ง เพื่อดักแมลงสาบที่ออกมาหากินยามค่ำคืน
- ใช้บ้านแมลงสาบ ซึ่งเป็นกาวดักแมลงสาบที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง มีประสิทธิภาพในการดักจับแมลงสาบได้ดี ใช้ง่ายเพียงแค่แกะกล่องกระดาษแล้วนำแผ่นเหยื่อไปวางไว้ตรงกลางแผ่นกาวและ พับเป็นรูปบ้าน นำไปวางไว้ตามห้องหรือซอกมุมที่มีแมลงสาบรบกวน เมื่อมีแมลงสาบมาติดจนเต็ม ให้พับบ้านแมลงสาบเข้าทุกด้าน แล้วนำไปทิ้งลงถังขยะ บ้านแมลงสาบมีอายุการใช้งานนานประมาณ 3-4 สัปดาห์
- เอาปูนซีเมนต์ มาผสมกับอะไรหอมๆ น่ากิน เช่น นมผง โอวัลติน หรือถั่วบด ใส่ถาดวางใว้ในที่ที่แมลงสาบชอบเดินผ่าน แล้วก็เอาขันใส่น้ำวางไว้ข้างๆ เมื่อแมลงสาบได้ลิ้มรส อาหารผสมปูนซีเมนต์ และจิบน้ำเข้าไป ปูนซีเมนต์เมื่อผสมกับน้ำก็จะแข็งตัวในท้องของมัน
วิธีไล่งู
- งู ที่กลัวเชือกกล้วยจะมีก็เฉพาะงูเหลือมเท่านั้น ซึ่งได้มีการพิสูจน์มาแล้ว ส่วนงูพิษยังไม่มีรายงาน การเลี้ยงสุนัข หรือห่านเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุด
- ใช้ สารเคมีที่มีกลิ่นฉุน เช่น น้ำมันก๊าด(หาง่าย และไม่อันตรายกับคน และสัตว์เลี้ยง) ให้ฉีดพ่นหรือราดรอบๆ บริเวณที่ไม่ต้องการให้มีงูอยู่ ( ถ้าฉีดพ่นหรือราดน้ำมันก๊าดที่รังงูก็จะหนีไปเหมือนกันครับ) และ ควรฉีดพ่นหรือราดน้ำมันก๊าดในช่วงที่ไม่มีเด็กๆ อยู่ เพราะงูจะออกมาจากที่หล่บซ่อน วิธีนี้เคยใช้จัดการกับงูเห่ามาแล้วใช้ได้ผลครับ ลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะครับไม่ต้องฆ่าเขาด้วยแค่ไล่ไปเท่านั้น
- ใช้ผงกำมะถัน(สีเหลืองๆ) มาผสมน้ำแล้วราดบริเวณรอบบ้าน แต่วิธีนี้ต้องทำบ่อยหน่อย อย่างน้อย เดือนละครั้ง เพราะกำมะถันเจือจางแล้วงูก็เข้าอีก
วิธีไล่ตะขาบ
- เลี้ยงไก่ในบริเวณบ้าน
- ปลูกต้นเสลดพังพอนตัวเมีย รอบๆ บริเวณบ้าน
- ใช้ “น้ำส้มควันไม้” เนื่องจากน้ำส้มควันไม้เข้มข้น มีส่วนผสมของน้ำมันทาร์ และยางเรซินอยู่มาก จะส่งกลิ่นเหม็นคล้ายควันไฟรบกวนสัตว์ และแมลงที่มีพิษต่างๆ รู้สึกจะมีขายตามร้านขายเคมีเกษตรครับ
วิธีไล่หนู
แบบง่ายๆ และประหยัดเงินคือ นำ ไม้ยี่โถ ไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปบดเป็นผง เสร็จแล้วนำไปโรยตามซอกที่หนูชอบอยู่ เพียงเท่านี้หนูก็พากันขนย้ายครอบครัวหนีออกไปจากบ้านของคุณไปเลย

Computer Vision Syndrome

Computer vision syndrome (CVS) เป็นกลุ่มอาการของตาและสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ อาการจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อใช้เวลากับคอมพิวเตอร์นานมากขึ้น อาการของ Computer vision syndrome จะมีอาการเมื่อยล้าตา ปวดตา เคืองตา ตาแห้ง น้ำตาไหล ตามัว เห็นภาพซ้อน ปวดคอ หลังและไหล่
แนวทางการแก้ไข
จอคอมพิวเตอร์จะให้ภาพที่ดีขึ้นกับ
1. Refresh rate หมายถึงอัตราการกระพริบของจอภาพ จอที่มีค่า refresh rate ต่ำทำให้ตาต้องทำงานมากเพราะภาพที่ได้จะมีการสั่นและกระพริบ. ความถี่ที่เหมาะสมคือ 70 Hz (hertz) หรือมากกว่า. ค่า refresh rate ของจอคอมพิวเตอร์ชนิด CRT สามารถปรับได้ที่ start/settings/control panel/display/ settings/advanced
2. Resolution หมายถึงความหนาแน่นของ pixel ถ้ามีความหนาแน่นของ pixel สูงจะมีรายละเอียดมากกว่า เช่น 800 x 600 resolution จะมีรายละเอียดมากกว่า 640 x 480. โดยทั่วไปความหนาแน่นของ pixel สูงจะดีกว่าแต่ต้องดูที่ refresh rate ด้วยเพราะถ้ามี resolutions สูงแต่ refresh rate ไม่สูงพอภาพก็อาจไม่ดีได้. ข้อเสียของ resolution สูงคือภาพและข้อความจะมีขนาดเล็กลงและข้อดีของ การใช้จอคอมพิวเตอร์ที่มี resolutions สูงจะทำให้สบายตากว่า
3. Dot pitch คือระยะห่างระหว่างรูของช่องโลหะ มีผลต่อความคมชัด. จอคอมพิวเตอร์ปกติมีค่า 0.25-0.28 มม. ค่าต่ำแสดงว่ามีความคมชัดมาก ฉะนั้นค่าที่ดีคือ 0.28 มม. หรือต่ำกว่า ค่า Dot pitch นี้ไม่สามารถปรับได้
4. ควรปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้มีความสว่างเท่ากับภาวะแวดล้อม ส่วน contrast ควรปรับให้สูงเพื่อให้การโฟกัสและการมี binocularity ง่ายขึ้น. แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ทำให้ contrast ลดลงได้ทำให้การมองเห็นไม่สบายตาโดยเฉพาะถ้าเป็นตัวอักษรสีอ่อนบนพี้นสีเข้ม จึงแนะนำให้ใช้ตัวอักษรสีดำบนพื้นขาว ขนาดตัวอักษรควรเป็น 3 เท่าของตัวอักษรตัวเล็กที่สุดที่เราเห็นได้ เราสามารถ ทดสอบโดยเดินห่างออกไป 3 เท่าของระยะทางที่เราใช้งานอยู่ ถ้ายังคงเห็นตัวอักษรบนจอได้อยู่แสดงว่าเป็นขนาดที่เหมาะสมแล้ว
5. จอแบน มีการบิดเบือนของภาพน้อยกว่าจอโค้ง นอกจากนี้ยังสามารถลดแสงสะท้อนจากหน้าจอได้ดีกว่า เมื่อบวกกับสารพิเศษที่เคลือบทับหน้าจออีกชั้นหนึ่งทำให้สามารถลดแสงสะท้อน ได้อย่างดี โดยไม่จำเป็นต้องใช้กระจกกรองแสง
สำหรับจอ LCD ข้อดีคือ ประหยัดไฟฟ้า, ประหยัดพื้นที่ทำงาน, ให้การแสดงผลที่ดี และไม่มีปัญหาเรื่องของสนามแม่เหล็กและการแผ่รังสี
ปัญหาสายตาและแว่นตา
สายตายาว คนที่มีสายตายาวมีกำลังของสายตาน้อยกว่าปกติ การมองเห็นจอให้เห็นชัดจึงต้องใช้ accommodation มากกว่าคนสายตาปกติ ในคนที่ไม่มี accommodation ที่เพียงพอจะมีอาการปวด เมื่อยล้าตา ปวดศีรษะได้เมื่อต้องเพ่งมองคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ คนที่มีสายตายาวแต่ไม่ได้ใส่แว่น จะมีอาการมัวเวลามองคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ อาการตามัวอาจมัวเป็นพักๆ เพราะตาไม่สามารถมี accommodation ได้ตลอดเวลา เมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการ accommodation จะน้อยลงจนทำให้คนอายุมากกว่า 40 ปีมักจะต้องใส่แว่นสายตายาวเพื่อให้มองคอมพิวเตอร์ชัด
สายตาสั้น คนสายตาสั้นมองไกลไม่ชัดแต่มองใกล้ได้ดีกว่า คนที่มีสายตาสั้นเล็กน้อยที่เท่ากันทั้ง 2 ข้างอาจไม่ต้องใส่แว่นเวลาใช้คอมพิวเตอร์ มีความเชื่อกันว่าการใช้สายตามองของใกล้ๆ เป็นเวลานานๆ กล้ามเนื้อ ciliary muscle ต้องหดตัวติดต่อกันนานจนอาจเกิดเป็นภาวะ accommodative spasm ซึ่งสามารถทำให้เกิดสายตาสั้นได้ พบว่าการใช้คอมพิวเตอร์ทำให้เกิดภาวะสายตาสั้นชั่วคราวได้ร้อยละ 20 ของคนทำงานคอมพิวเตอร์โดยทุกคน ที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นสายตาสั้นนี้จะมีอาการ asthenopia แต่มีเพียงร้อยละ 32.5 ของคนที่มี asthenopia จะมีสายตาสั้นชั่วคราวนี้ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานที่แน่ชัดว่าการใช้คอมพิวเตอร์ทำให้เกิดสายตาสั้นที่ ถาวรได้
ลักษณะของแว่นตาที่เหมาะกับการใช้คอมพิวเตอร์
  • แว่นสำหรับคอมพิวเตอร์ ควรมีระยะที่เห็นชัดที่ 18-28 นิ้วฟุตซึ่งเราเรียกว่า intermediate viewing distance และมี intermediate viewing angle 10๐-15๐ ต่ำจากระดับตา ในขณะที่แว่นอ่านหนังสือ โดยปกติ เช่น bi-focals หรือ progressive lens จะมีระยะที่เห็นชัดอยู่ที่ระยะ 16-18 นิ้วฟุตจากตาและทำมุม 20๐-30๐ ต่ำจากระดับตา
  • Anti-reflective coating (AR) บนเลนส์จะลดจำนวนแสงจ้าและแสงสะท้อนจากเลนส์ที่จะเข้าสู่ตา
  • Lens tints จะลดความสว่างและสีบางสีที่จะเข้าสู่ตา การย้อมสีนี้อาจให้ความสบายกับบางคน
  • ในรายที่มีกล้ามเนื้อตาผิดปกติ การใส่ปริซึมในแว่นตาจะทำให้ใช้ตาได้สบายขึ้น
  • Ultraviolet coating ถ้าในห้องทำงานมี fluorescent light ซึ่งให้แสงสีฟ้าจำนวนมาก แสงสีฟ้ามีความกระจัดกระจายสูง การใช้ ultraviolet coating จะตัดแสงสีฟ้าที่เข้าตาได้
  • ในผู้ที่เป็น presbyopia แว่นสำหรับคอมพิวเตอร์ควรมี intermediate zone ที่กว้างไว้สำหรับมองคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจเป็น
    1. Single-vision lens ใช้เลนส์ที่มีระยะที่เห็นชัดที่ 18-28 นิ้วฟุตเพื่อไว้ใช้ดูคอมพิวเตอร์อย่างเดียว มีราคาถูกที่สุด. ข้อเสียคือ มองใกล้มากๆ และมองไกลไม่ชัด
    2. Clip-on เป็นเลนส์ที่นำมาหนีบบนแว่นเพื่อให้เห็นชัดในระยะที่ต้องการ
    3. แว่น Multifoca
      • Trifocal โดยจัดให้เลนส์ส่วนบนของแว่นสำหรับดูไกล ส่วนกลางให้ชัดสำหรับดูคอมพิวเตอร์ และส่วนล่างสำหรับดูหนังสือ. ข้อเสียคือ เลนส์ส่วนกลางจะมีบริเวณแคบและเวลามองคอมพิวเตอร์อาจต้องเงยหน้าขึ้นมอง
      • Bifocal จัดให้เลนส์ส่วนบนของแว่นเห็นชัดสำหรับดูคอมพิวเตอร์และส่วนล่างสำหรับดู หนังสือ. ข้อเสียคือ มองไกลไม่ชัด. แต่ถ้าทำให้เลนส์ส่วนบนเห็นชัดสำหรับดูไกลและส่วนล่างสำหรับดูคอมพิวเตอร์. ข้อเสียคือ เวลาดูคอมพิวเตอร์ต้องเงยหน้าขึ้น
      • Progressive lens ข้อดีคือไม่มีเส้นรอยต่อระหว่างเลนส์. ข้อเสียคือ การบิดเบี้ยวของภาพที่อยู่ข้างๆ. โดยทั่วไป progressive lens มี intermediate area แคบจึงไม่เหมาะกับการทำงานคอมพิวเตอร์. การพยายามเงยหน้าหรือก้มมาข้างหน้าเพื่อให้เห็นชัดจะทำให้มีอาการปวดคอ ไหล่ และหลัง ฉะนั้นสำหรับการทำงานคอมพิวเตอร์ควรเลือก progressive lens ชนิดมี intermediate zone กว้างและอยู่ตรงกลาง เมื่อมองลงล่างจะดูหนังสือได้ ถ้าก้มหน้าแล้วเหลือบตาขึ้นบนเล็กน้อยก็จะสามารถเห็นไกลได้ประมาณ 10 ฟุตพอให้เห็นของภายในห้องได้ แม้ไม่ชัดพอที่จะขับรถ เราเรียกเลนส์กลุ่มนี้ว่า occupational progressive lenses การใช้เลนส์กลุ่มนี้ทำให้ลดอาการปวดเมื่อยล้าตา ไหล่และหลังได้
การจัดตำแหน่งการนั่งให้เหมาะสมในการใช้คอมพิวเตอร์
ตำแหน่งการนั่งที่ไม่เหมาะสมขณะใช้คอมพิวเตอร์ทำให้มีอาการปวดคอ หลังและไหล่ได้ ตำแหน่งที่แนะนำได้แก่
  • จอคอมพิวเตอร์อยู่ตรงกับเรา ห่างประมาณ 20-26 นิ้วฟุต
  • จอคอมพิวเตอร์อาจหงายขึ้นบนได้เล็กน้อยเหมือนหนังสือที่เราถืออ่าน
  • ในท่ามองตรง จัดให้จุดกลางของจอคอมพิวเตอร์อยู่ต่ำกว่าตาลงมา 5-6 นิ้วฟุต
  • ขณะพิมพ์ควรให้แขนขนานกับพื้น เท้าวางราบบนพื้นหรือที่รองเท้า เข่าให้อยู่ระดับเดียวกับเก้าอี้หรือสูงกว่า
  • หลังตรงและไม่ให้งอไหล่มาข้างหน้า
  • Keyboard และ mouse ควรให้อยู่ต่ำกว่าศอก เพราะถ้าสูงกว่าหรืออยู่ไกลเกินไปจะทำให้ไหล่ต้องรับน้ำหนักของแขน เกิดอาการเมื่อยล้าที่ไหล่ คอและหลังได้
  • จัดที่นั่ง ไม่ให้มีลมเป่าเข้าตา
  • การมองไปมาระหว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์กับหนังสือทำให้มีอาการเมื่อยล้าได้ จึงควรวางหนังสือให้ใกล้กับจอคอมพิวเตอร์
  • ไฟที่ใช้กับหนังสือไม่ควรให้ส่องเข้าตา หรือจอคอมพิวเตอร์
  • ขณะใช้คอมพิวเตอร์ควรหยุดพักสายตาเปลี่ยนเป็นมองไกล 2 ครั้งทุกชั่วโมง และควรลุกขึ้นมายืน ขยับแขนขา หลัง คอ ไหล่และข้อบ่อยๆ
แสงสว่างที่เหมาะสม
แสงจากสิ่งแวดล้อมที่สว่างมากเกินไปทำให้ความสามารถในการ accommodation ลดลงได้ เพื่อลดเกิดอาการเมื่อยล้าตาควรให้ความสว่างจากนอกห้องและในห้องเป็นแค่ ครึ่งหนึ่งของสำนักงานทั่วๆไป ควรให้หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ตั้งฉากกับหน้าต่าง ไม่ควรให้หน้าต่างอยู่หน้าหรือหลังต่อหน้าจอคอมพิวเตอร์เพราะจะเกิดแสง สะท้อนได้.
แสงจ้าบนกำแพงและพื้นผิวที่สะท้อนบนจอคอมพิวเตอร์ทำให้เกิด CVS ได้ ควรแก้ไขด้วยการทากำแพงด้วยสีเข้ม ปิดหน้าต่างไม่ให้แสงจากข้างนอกเข้ามา. สำหรับการใช้ anti-glare screen บนจอคอมพิวเตอร์ช่วยลดแสงจ้าและแสงสะท้อนทำให้ contrast ดีขึ้น ทำให้การใช้ตาสบายขึ้น. แม้บางรายงานไม่พบว่าสามารถลดการปวดเมื่อยล้าตาได้ แนะนำให้ใช้แว่นที่เคลือบ anti-reflective coating เพื่อป้องกันไม่ให้แสงจ้าและแสงสะท้อนจากเลนส์เข้าสู่ตาของเรา.
ตาแห้ง
เมื่อใช้คอมพิวเตอร์คนเราจะกระพริบตาน้อยลง 5 เท่าของปกติ คุณภาพของน้ำตาจึงลดลง ทำให้น้ำตาระเหยจากตามากผิดปกติ ตาจึงแห้งและมีอาการระคายเคืองตา. การดูคอมพิวเตอร์ ตาจะต้องเบิ่งกว้างกว่าการอ่านหนังสือ ทำให้ตามีบริเวณที่สัมผัสอากาศมากกว่าจึงทำให้ตาแห้งมากกว่า โดยเฉพาะในผู้ที่ใส่เลนส์สัมผัส ฉะนั้นทุก 30 นาที ควรกระพริบตา 10 ครั้งอย่างช้าๆ จะช่วยทำให้อาการ ตาแห้งดีขึ้น. การใช้น้ำตาเทียมจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้.
เมื่อเรามีความรู้เกี่ยวกับ CVS อย่างถูกต้อง การปรับจอคอมพิวเตอร์ การใช้แว่นที่เหมาะสม การจัดตำแหน่งการนั่งให้ถูกต้อง การจัดแสงสว่างที่เหมาะสม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจะช่วยให้เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้อย่างปราศจาก อาการ CVS

โรคปวดหลัง ถามหาคนเล่นคอม

หนุ่มสาววัยทำงานกว่า 80% ไม่ยอมลุกจากเก้าอี้ หารู้ไม่ว่าการนั่งทำงานนานเกิน 1 ชั่วโมง โดยไม่เปลี่ยนอิริยาบถ จะนำมาซึ่งโรคปวดเมื่อย
ดร.แพทริก อิริคสัน ไคโรแพรคเตอร์ จากสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า อาชีพที่เสี่ยงเป็นโรคปวดหลังมากที่สุดก็คือ นักกราฟฟิกดีไซน์ พนักงานคีย์ข้อมูล และนักบัญชี
คนเหล่านี้มักจะใช้เวลานั่งอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ เกิน 1 ชั่วโมง บางทีข้ามคืนเลยก็มี และที่แย่ไปกว่านั้นยังมีวิธีการนั่งแบบผิดลักษณะท่าทาง นอกจากนั้นยังมีการใช้เก้าอี้ไม่ตรงกับสรีระจึงทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมา ได้
การปรับเก้าอี้ จัดวางคอมพิวเตอร์ และจัดองค์ประกอบต่างๆ จะช่วยทำให้การนั่งทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น โดยมีหัวใจหลักๆ 3 ข้อดังต่อไปนี้
โต๊ะทำงาน และเก้าอี้
1. ควรปรับพนักเก้าอี้ของคุณให้เอียง 100-110 องศา ควรปรับพนักเก้าอี้ขึ้นลงให้เหมาะสม หากมีหมอนเล็กๆ ก็ควรนำมาพิงหลังหากจำเป็น เพื่อให้หลังตั้งตรง หรือหากเก้าอี้ทำงานมีระบบปรับหลังพนักพิงให้ปรับตำแหน่งเก้าอยู่เสมอ ให้พนักพิงสามารถรองรับช่วงโค้งของกระดูกสันหลังช่วงเอวได้ดี
2. ปรับที่วางแขนเพื่อให้ไหล่อยู่ในท่าที่ผ่อนคลาย หากที่วางแขนทำให้ทำงานไม่ถนัดก็ควรถอดออก
3. ควรปรับระดับความสูงของเก้าอี้ เพื่อให้ขาของคุณถึงพื้น และทำให้เข่าขนานหรืออยู่ในระดับต่ำกว่าสะโพกเพียงเล็กน้อย และควรวางสะโพกให้ไกลจากคอมพิวเตอร์ ก็จะสามารถป้องกันอาการปวดหลังที่เกิดจากการนั่งทำงานหน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ ได้
4. ปรับระยะห่างของช่วงโต๊ะไม่ควรให้ชนกับต้นขา ควรนั่งให้ระยะของขาตั้งฉากกับเก้าอี้ และควรปรับเบาะเก้าอี้ให้ได้ระดับการตั้งฉาก 90 องศาของเข่า
5. นอกจากนั้นควรจะมีที่พักเท้ารองใต้เท้าเพื่อไม่ให้เท้าลอยขึ้นมาจากพื้น เมื่อปรับเบาะให้อยู่ในระดับเดียวกับความสูงของเก้าอี้แล้ว ควรจะหาอะไรมารองเพื่อให้ช่วงเข่าและเท้าผ่อนคลาย
การจัดวางตำแหน่งของแป้นพิมพ์ หรือ คีย์บอร์ด
1. ควรดึงถาดวางคีย์บอร์ดให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆกับคีย์บอร์ด และวางให้อยู่ในตำแหน่งที่อยู่ข้างหน้า ดูว่าส่วนใดของคีย์บอร์ดที่ใช้งานบ่อยมากที่สุด ให้ปรับส่วนที่ใช้งานบ่อยๆ นั่นให้มาอยู่ตรงกลาง
2. ควรปรับความสูงของคีย์บอร์ดเพื่อให้ไหล่สามารถผ่อนคลาย ให้ข้อศอกอยู่ในลักษณะอ้าออกเล็กน้อยประมาณ 100-110 องศา ควรให้ข้อมือ และมืออยู่ในลักษณะตรง ถ้าหากแขนและข้อศอกสามารถตั้งฉาก 90 องศา ได้ก็จะทำให้ไม่เกิดอาการเมื่อยบริเวณแขนได้
3. ระดับของคีย์บอร์ดควรขึ้นอยู่กับการนั่งของคุณ หากนั่งอยู่ด้านหน้าหรือลักษณะตรง พยายามวางตำแหน่งคีย์บอร์ดให้ห่างจากตัวไปอีกทาง หากเอนตัวนอนเวลาพิมพ์งาน ก็ควรให้ตำแหน่งของคีย์บอร์ดอยู่ในลักษณะที่ถูกต้อง เพื่อให้ข้อมืออยู่ในลักษณะตั้งตรง
4. ที่วางข้อมืออาจจะช่วยทำให้คุณอยู่ในท่าที่เหมาะสมได้ ที่วางข้อมือควรใช้เป็นที่พักฝ่ามือจากการพิมพ์งานเท่านั้น ไม่ควรใช้ที่วางข้อมือในขณะที่พิมพ์งาน และไม่ควรใช้ที่วางข้อมือที่กว้างมากเกินไป หรืออยู่ในระดับที่สูงกว่าคีย์บอร์ด เพราะอาจจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณแขนล้าได้
5. การวางเมาส์ควรวางให้ใกล้กับคีย์บอร์ดมากที่สุด และวางบนพื้นผิวที่เรียบลาดเอียงเล็กน้อย หรือใช้เมาส์วางบนที่วางเมาส์ แผ่นรองเมาส์ ก็อาจจะช่วยทำให้เมาส์อยู่ใกล้ตัวขึ้นได้
6. หากไม่สามารถวางคีย์บอร์ดที่สามารถปรับได้ อาจจะต้องปรับระดับความสูงของโต๊ะทำงาน ความสูงของเก้าอี้ หรือใช้หมอนรองนั่งแทน เพื่อให้คุณนั่งได้สบายมากที่สุด
7. ไม่ควรยกหัวไหล่เมื่อพิมพ์งาน ควรผ่อนคลายบริเวณบ่า และไหล่ให้มากที่สุด
การจัดวางจอคอมพิวเตอร์ที่ถูกต้อง
1. ควรปรับจอภาพด้านบนสุดให้อยู่ในแนวเดียวกับระดับสายตา
2. ควรวางจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่เหนือคีย์บอร์ด และอยู่ตรงหน้า ตรงกับระดับสายตาในขณะที่นั่งประมาณ 2-3 นิ้ว
3. ควรนั่งให้แขนห่างจากหน้าจอให้ยาวที่สุด และควรปรับระยะการมองเห็น พยายามหลีกเลี่ยงการเพ่งจ้องคอมพิวเตอร์ โดยการวางตำแหน่งจอให้เหมาะสม ถ้าจะให้ดีควรจะมีแผ่นกรองแสงเพื่อป้องกันการเสื่อมของตาด้วย
4. ปรับมุมจอคอมพิวเตอร์ในแนวตั้ง และปรับอุปกรณ์ควบคุมจอเพื่อลดการมองแสงที่ออกจากคอมพิวเตอร์ หรือควรปรับม่านหากมีแสงสว่างมากจนเกินไปทำให้มองไม่เห็นจอคอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ตามการนั่งทำงานเป็นเวลานานๆ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวด เมื่อย หรือ กล้ามเนื้อเกร็งได้ แม้ว่าจะมีการจัดวางตำแหน่งของคอมพิวเตอร์ ปรับเก้าอี้ พนักพิง และการนั่งที่ถูกต้องแล้ว แต่การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ก็อาจจะทำให้การไหลเวียนของเลือดหยุดชะงัก และทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าได้ ซึ่งการหยุดพักและผ่อนคลายเป็นวิธีป้องกันได้ดีที่สุด
ดร.แพทริก อิริคสัน ได้ให้คำแนะนำถึงวิธีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้กับพนักงานออฟฟิศง่ายๆ ที่สามารถปฏิบัติได้จริง ดังนี้
1. ควรจะพักบริหารร่างกายสัก 1-2 นาที ในทุกๆ 20-30 นาที หลังจากที่นั่งทำงานในแต่ละชั่วโมง เพื่อให้ร่างกาย และกล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย พยายามหางานอย่างอื่นทำแทนในขณะที่หยุดพัก หรือจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ยืดเส้น บิดตัวไปมา ก็อาจจะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายมากขึ้น
2. ควรพักสายตา อย่างน้อย 5 นาที หลังจากที่จ้องดูหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ เนื่องจาก แสง และรังสีต่างๆ ที่ออกจากจอ อาจทำให้ตาเมื่อยล้า และทำให้สายตาสั้นลงได้ ควรจะพักสายตา โดยการหลับตา หรือ มองไปบริเวณรอบๆ เป็นระยะๆ หากรู้สึกปวดตา ให้มองไปบริเวณที่มีสีเขียว ก็อาจจะทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น ไม่ควรจ้องมองไปที่แสงสว่าง หรือที่มีแดดจ้า
3. หากรู้สึกเมื่อย ก็ให้หยุดพัก ออกไปเดินสูดอากาศข้างนอก ล้างหน้า เพื่อเพิ่มความสดชื่น อย่าฝืนนั่งทำ เพราะอาจจะทำให้เสียสุขภาพได้
ท่านั่ง ท่านอน ล้วนมีผลต่อสุขภาพทั้งสิ้น ซึ่งควรมีการฝึกปฏิบัติให้ถูกต้องตั้งแต่ยังเล็ก แม้ว่าร่างกายจะยังไม่ส่งสัญญาณด้วยอาการปวดออกมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มีปัญหา